รายงานการสื่อสารและการนำเสนอ
เรื่อง
การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
ของ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5/5
นางสาว อุไรพร
กุลโชติ เลขที่ 20
นางสาว ธนิดา แสนสุภา
เลขที่ 21
นางสาว กนกธร ไชยพันโท เลขที่ 23
นางสาว กัลย์ทิมา เหล่ามา เลขที่ 25
นางสาว อนุพร โจระสา เลขที่ 38
ที่ปรึกษา
คุณครู นารีรัตน์ แก้วประชุม
วันที่ 11 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2557
เสนอ
โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร
อำเภอโพธิ์ไทร
จังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ตามหลังสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการศึกษาค้นคว้า
เพื่อให้ประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจจะได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง “การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง”
ซึ่งคณะจัดทำขึ้นเพื่อให้นักเรียน
และผู้ที่สนใจได้ศึกษาหาความรู้หรือใช้เป็นเอกสารเพิ่มเติมต่อไป
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการทาบกิ่ง การตอนกิ่ง ซึ่งทำให้ทราบถึง
เนื้อหาหลักๆ ของการทาบกิ่งมะนาว
และเป็นงานที่เกี่ยวกับการทดลองที่ได้วิเคราะห์ให้ผู้อ่านนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
หากมีข้อบกพร่องประการใด ผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
11 สิงหาคม 2557
กิตติกรรมประกาศ
รายงานฉบับนี้สำเร็จและสมบูรณ์เป็นรูปเล่ม
ด้วยความกรุณาและเอาใจใส่เป็นอย่างดีคณะผู้จัดทำขอขอบคุณ คุณครู นารีรัตน์ แก้วประชุม
และคณะครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ที่คอยให้คำปรึกษาและแนะนำข้อมูลต่างๆ
ช่วยให้คณะผู้จัดทำทำงานลุล่วง เรียบร้อย สำเร็จไปด้วยดี รวมทั้งเพื่อนๆ
ที่ค่อยให้คำปรึกษา ทำให้การดำเนินการรายงานในครั้งนี้ไม่มีข้อบกพร่อง
รวมทั้งข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นต่างๆ
ทางคณะผู้จัดทำจึงขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
ผู้จัดทำ
นางสาว กนกธร ไชยพันโท
และคณะ
ชื่อเรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
ผู้ศึกษา นางสาว อุไรพร กุลโชติ
นางสาว ธนิดา แสนสุภา
นางสาว กนกธร ไชยพันโท
นางสาว กัลย์ทิมา เหล่ามา
นางสาว อนุพร โจระสา
ครูที่ปรึกษา คุณครู นารีรัตน์ แก้วประชุม
ชื่อวิชา การสื่อสารและการนำเสนอ
ชื่อโรงเรียน โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร ปีการศึกษา
ที่ศึกษาค้นคว้า 2557
บทคัดย่อ
การศึกษาค้นคว้า เรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาที่มาของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง 2) เพื่อศึกษาประวัติของการทาบกิ่งมะนาว 3) เพื่อศึกษาการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังได้จริงหรือไม่
4) เพื่อศึกษาประโยชน์ของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง ข้อสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ของการทาบกิ่ง
การทาบกิ่งมีกี่ประเภท
ผลการศึกษาปรากฏว่า
1. ประโยชน์ของการทาบกิ่ง
1.1
เป็นการขยายพันธุ์ของต้นพืชพันธุ์ดีให้มากขึ้น โดยทำให้เจริญเติบโตได้ดีบนต้นตอที่แข็งแรง
1.2 ทำให้ได้ต้นพืชพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตรวดเร็ว หลังจากทาบกิ่งและนำไปปลูกในเวลาไม่นาน
1.3 ทำให้ได้ต้นพันธุ์ดีที่แข็งแรงทนทานต่อการหักโค่นเนื่องจากลมเพราะมีรากแก้วของต้นตอ
ช่วยค้ำจุน
1.4 ทำให้พืชบางชนิดที่ขยายพันธุ์ได้ยาก สามารถดำรงพันธุ์ไว้ได้
1.2 ทำให้ได้ต้นพืชพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตรวดเร็ว หลังจากทาบกิ่งและนำไปปลูกในเวลาไม่นาน
1.3 ทำให้ได้ต้นพันธุ์ดีที่แข็งแรงทนทานต่อการหักโค่นเนื่องจากลมเพราะมีรากแก้วของต้นตอ
ช่วยค้ำจุน
1.4 ทำให้พืชบางชนิดที่ขยายพันธุ์ได้ยาก สามารถดำรงพันธุ์ไว้ได้
1.2 การทาบกิ่ง คือ การนำต้นพืช 2 ต้น
ซึ่งเป็นต้นชนิดเดียวกันและมีระบบรากมาเชื่อมต่อกิ่งกันโดยต้นตอที่นำมาทาบกิ่ง
จะทำหน้าทีเป็นระบบรากอาหารให้กับต้นพันธุ์ดี
เมื่อเกิดการประสานของตัวกิ่งทั้งสองแล้ว จึงตัดกิ่งพันธุ์ดีออก
เหลือเป็นต้นตอของพันธุ์หนึ่ง และยอดพันธุ์ดีเป็นของอีกพันธุ์หนึ่งพืชที่นิยมขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่งเช่น
มะขาม มะนาว มะม่วง ทุเรียน ขนุน เงาะ ลำไย
2. การทาบกิ่งมีกี่ประเภท การทาบกิ่งแบบประกบ
มี 3 แบบคือ
2.1 วิธีทาบกิ่งแบบฝานบวบ
2.2 วิธีการทาบกิ่งแบบเข้าลิ้น
2.3 วิธีทาบกิ่งแบบพาดร่อง
3.ความหมายของการทาบกิ่ง
การทาบกิ่งหมายถึงการนำต้นไม้
2 ต้นที่ต่างก็มีรากของตนเองมาทาบกันโดยต่อเข้าด้วยกัน
และเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion)
ออก ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์
ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู แต่แผลจะเชื่อมติด
กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน) หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ
ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
และเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion)
ออก ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์
ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู แต่แผลจะเชื่อมติด
กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน) หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ
ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
บทที่ 1
ความเป็นมาและความสำคัญของเนื้อหา
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
ในชีวิตประจำวันของเราต้นกระสังนับว่าเป็นพืชที่ให้ประโยชน์ทั้งคนและสัตว์สามารถนำมา
ทำประกอบอาหารและผลของกระสังยังสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพได้ด้วยกลุ่มของเราผู้จัดทำจึงคิดว่า
จะนำไปใช้ในการปลูกพืชแบบประหยัดพื้นที่จึงได้จัดทำโครงงานนี้ขึ้น
มะนาวนั้นสามารถที่จะช่วยระบบการย่อยอาหารและยังช่วยสกัดสารพิษ
ออกจากร่างกายได้ด้วย พวกเราหลายๆคน
ที่ปมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่มากเกินความต้องการ
โดยสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของปัญหานี้ ก็คือ ระบบการย่อยอาหาร ที่ไม่ทำงานอย่างปกติ
ทำให้ร่างกายของเรา ไม่สามารถรับสารอาหาร ที่จำเป็นในการเผาผลาญไขมัน
ทำให้เกิดมีสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งกำจัดออกไปจากร่างกายได้ยาก
แต่ มะนาว นั้นสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เนี่องจาก ผลมะนาว
นั้นอุดมไปด้วยกรดไซตริก ซึ่งเป็น AHA ชนิดหนึ่ง ซึ่งสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่นทุกๆ ประเภท หากเรานำ น้ำมะนาวมาผสม
ร่วมกับโปรตีน และกรดอื่นๆ แล้วละก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการ ช่วยกระตุ้น
น้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ขั้นตอนและวิธีการ ใช้มะนาวในการ
ช่วยระบบการย่อยอาหาร
ความหมายของการทาบกิ่ง
การทาบกิ่งหมายถึงการนำต้นไม้ 2 ต้นที่ต่างก็มีรากของตนเองมาทาบกันโดยต่อเข้าด้วยกันและเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion) ออก
ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์
ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู
แต่แผลจะเชื่อมติด กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน)
หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
แนวคิดแบบตะวันตก
เมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษา และการพิมพ์ วรรณกรรมตะวันตก ทั้งที่เป็นแนววิชาการ
และบันเทิง จึงได้แพร่หลายเข้ามาสู่สังคมไทย และมีอิทธิพลต่อการสร้างแนวคิด
และสำนึกของไทย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย
การเข้าใจถึงคุณค่าของมนุษย์ และความทัดเทียมกัน แนวคิดต่างๆ เหล่านี้
ได้สะท้อนออกมาในรูปของวรรณกรรม ที่ตีพิมพ์ในภาษาไทย เช่น งานเขียนของเทียนวรรณ
ดอกไม้สด ศรีบูรพา และมาลัย ชูพินิจ
วัตถุประสงค์ของปัญหา
1.
เพื่อศึกษาที่มาของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
2. เพื่อศึกษาประวัติของการทาบกิ่งมะนาว
3. เพื่อศึกษาการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังได้จริงหรือไม่
4.
เพื่อศึกษาประโยชน์ของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
สมมุติฐาน
ศึกษาการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังได้จริงหรือไม่
ขอบเขตของปัญหา
เนื้อหา
-ที่มาของการทาบกิ่ง
-ประวัติของการทาบกิ่ง
-ประโยชน์ของการทาบกิ่ง
ระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557
ตัวแปรที่ใช้ในการค้นคว้า
ตัวแปรต้น
การทาบกิ่งจะสามารถทำแล้วได้ผลหรือไม่
ตัวแปรตาม
การทาบกิ่งสามารถทำแล้วได้ผลจริง
นิยามศัพท์เฉพาะ
การทาบกิ่ง คือ การนำต้นไม้ 2 ต้นที่ต่างก็มีรากของตนเองมาทาบกันโดยต่อเข้าด้วยกัน
และเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion)
ออก ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์
ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู
แต่แผลจะเชื่อมติด กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน) หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ
ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
การขยายพันธุ์พืช คือ วิธีการที่ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณของต้นพืชให้มากขึ้นเพื่อดำรงสายพันธุ์พืชชนิดต่างๆไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
การตอนกิ่ง คือ
การทำให้กิ่งหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับต้นแม่ จะทำให้ได้ต้นพืชใหม่ ที่มีลักษณะทางสายพันธุ์
เหมือนกับต้นแม่ทุกประการ
ประโยชน์ที่คาดว่าน่าจะได้รับจากโครงงาน
-เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจเกี่ยวกับการทาบกิ่ง
-เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้จักประโยชน์ในการทาบกิ่ง
-เพื่อทราบถึงความสำคัญของการทาบกิ่ง
บทที่
2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
เรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
มีหัวข้อและรายละเอียดดังนี้
1. ความหมายของการทาบกิ่ง
2. ประโยชน์ของการทาบกิ่ง
3. การทาบกิ่งมีกี่ประเภท
4. วิธีการทาบกิ่ง
5. ข้อมูลเพิ่มเติม
(อื่นๆ)
1.ความหมายของการทาบกิ่ง
การทาบกิ่งหมายถึงการนำต้นไม้
2
ต้นที่ต่างก็มีรากของตนเองมาทาบกันโดยต่อเข้าด้วยกัน
และเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion) ออก ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์ ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู แต่แผลจะเชื่อมติด กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน) หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
และเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion) ออก ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์ ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู แต่แผลจะเชื่อมติด กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน) หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
การทาบกิ่ง
คือ การนำต้นพืช 2 ต้น
ซึ่งเป็นต้นชนิดเดียวกันและมีระบบรากมาเชื่อมต่อกิ่งกันโดยต้นตอที่นำมาทาบกิ่ง
จะทำหน้าทีเป็นระบบรากอาหารให้กับต้นพันธุ์ดี
เมื่อเกิดการประสานของตัวกิ่งทั้งสองแล้ว จึงตัดกิ่งพันธุ์ดีออก
เหลือเป็นต้นตอของพันธุ์หนึ่ง
และยอดพันธุ์ดีเป็นของอีกพันธุ์หนึ่งพืชที่นิยมขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่งเช่น มะขาม
มะม่วง ทุเรียน ขนุน เงาะ ลำไย
วิธีการตัดกิ่งทาบ
ให้ตัดกิ่งพันธุ์ดีตรงระดับก้นกระเปาะหรือตุ้มทาบ
เพื่อสะดวกในการย้ายชำและช่วยทำให้รอยต่อของแผลไม่หักหรือฉีกเนื่องจากน้ำหนักของส่วนยอดพันธุ์ดี
เพราะส่วนโคนกิ่งพันธุ์ดีที่ยาวเลยรอยแผลจะช่วยพยุงน้ำหนักของส่วนปลายยอดพันธุ์ดี
การชำกิ่งทาบ
เมื่อตัดกิ่งทาบจากต้นพันธุ์ดี ให้นำมาแกะเอาถุงพลาสติกออก
แล้วชำลงในถุงพลาสติกสีดำขนาด 8x10 นิ้ว หรือกระถางดินเผาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8
นิ้ว ที่บรรจุด้วย ขุยมะพร้าวล้วน ๆ หรือดินผสม ปักหลักและผูกเชือกกิ่งทาบให้แน่น
นำเข้าพักไว้ในโรงเรือนที่ร่ม รดน้ำให้ชุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 15-20
วันหรือจนกิ่งพันธุ์ดีเริ่มแตกใบใหม่ จึงนำไปปลูกหรือจำหน่ายได้
สำหรับการชำกิ่งพันธุ์ดีที่ทิ้งใบง่าย เช่น ขนุน กระท้อน
ควรพักไว้ในโรงเรือนที่มีความชื้นสูง เช่น กระโจม พลาสติก หรือโรงเรือนระบบพ่นหมอก
จะช่วยลดปัญหาการทิ้งใบของพืชนั้นลงได้
การขยายพันธุ์พืช หมายถึง วิธีการที่ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณของต้นพืชให้มากขึ้น
เพื่อดำรงสายพันธุ์ พืชชนิดต่าง ๆ ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
ซึ่งวิธีการที่นิยมปฏิบัติโดยทั่วไป ได้แก่
- การตอนกิ่ง
- การทาบกิ่ง
- การติดตา
- การเสียบยอด
- การตัดชำ
การตอนกิ่ง
การตอนกิ่ง คือ การทำให้กิ่งหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับต้นแม่ จะทำให้ได้ต้นพืชใหม่ ที่มีลักษณะทางสายพันธุ์ เหมือนกับต้นแม่ทุกประการ
การตอนกิ่ง คือ การทำให้กิ่งหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับต้นแม่ จะทำให้ได้ต้นพืชใหม่ ที่มีลักษณะทางสายพันธุ์ เหมือนกับต้นแม่ทุกประการ
การทาบกิ่ง
การทาบกิ่ง คือ การนำต้นพืช 2 ต้นเป็นต้นเดียวกัน โดยส่วนของต้นตอที่นำมาทาบกิ่ง จะทำหน้าที่เป็นระบบรากอาหารให้กับต้นพันธุ์ดี โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ
การทาบกิ่ง คือ การนำต้นพืช 2 ต้นเป็นต้นเดียวกัน โดยส่วนของต้นตอที่นำมาทาบกิ่ง จะทำหน้าที่เป็นระบบรากอาหารให้กับต้นพันธุ์ดี โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ
การติดตา
การติดตา คือ การเชื่อมประสานส่วนของต้นพืชเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเป็นพืชต้น เดียวกัน โดยการนำแผ่นตาจากกิ่งพันธุ์ดี ไปติดบนต้นตอ การติดตาจะมีวิธีการทำ 2 วิธี คือ วิธีการติดตาแบบลอกเนื้อไม้ และแบบไม่ลอกเนื้อไม้ ซึ่งในทีนี้จะแนะนำเฉพาะขั้นตอน การติดตาแบบลอกเนื้อไม้
การติดตา คือ การเชื่อมประสานส่วนของต้นพืชเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเป็นพืชต้น เดียวกัน โดยการนำแผ่นตาจากกิ่งพันธุ์ดี ไปติดบนต้นตอ การติดตาจะมีวิธีการทำ 2 วิธี คือ วิธีการติดตาแบบลอกเนื้อไม้ และแบบไม่ลอกเนื้อไม้ ซึ่งในทีนี้จะแนะนำเฉพาะขั้นตอน การติดตาแบบลอกเนื้อไม้
การเสียบยอด
การเสียบยอด คือ การเชื่อมประสานเนื้อเยื่อของต้นพืช 2 ต้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเติบโต เป็นต้นเดียวกัน
การเสียบยอด คือ การเชื่อมประสานเนื้อเยื่อของต้นพืช 2 ต้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเติบโต เป็นต้นเดียวกัน
2.ประโยชน์ของการทาบกิ่ง
1.เป็นการขยายพันธุ์ของต้นพืชพันธุ์ดีให้มากขึ้น โดยทำให้เจริญเติบโตได้ดีบนต้นตอที่แข็งแรง
2. ทำให้ได้ต้นพืชพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตรวดเร็ว
หลังจากทาบกิ่งและนำไปปลูกในเวลาไม่นาน
3.
ทำให้ได้ต้นพันธุ์ดีที่แข็งแรงทนทานต่อการหักโค่นเนื่องจากลมเพราะมีรากแก้วของต้นตอ
ช่วยค้ำจุน
4. ทำให้พืชบางชนิดที่ขยายพันธุ์ได้ยาก สามารถดำรงพันธุ์ไว้ได้
3.การทาบกิ่งมีกี่ประเภท
วิธีการทาบกิ่ง
แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.
การทาบกิ่งแบบประกบ มี 3 แบบคือ
1.1 วิธีทาบกิ่งแบบฝานบวบ
1.2 วิธีการทาบกิ่งแบบเข้าลิ้น
1.3 วิธีทาบกิ่งแบบพาดร่อง
2.
การทาบกิ่งแบบเสียบ มี 3 แบบคือ
2.1 การทาบกิ่งแบบฝานบวบแปลง
2.2 การทาบกิ่งแบบเข้าบ่าขัดหลัง
2.3 การทาบกิ่งแบบเสียบข้างแปลง
4.วิธีการทาบกิ่ง
1. เตรียมต้นตอได้จากการเพาะเมล็ด การชำ หรือการตอน
โดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา ต้นตอที่นำมาใช้ควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร
หรือ เท่าแท่งดินสอ และ การเลือกกิ่งพันธุ์
ควรเป็นกิ่งที่ตั้งตรงหรือเอียงเล็กน้อย เป็นกิ่งที่สมบูรณ์ไม่เป็นโรคและแมลงรบกวน
2. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เป็นรูปโล่
3. เฉือนต้นตอเช่นเดียวกันกับกิ่งพันธุ์ดี
4. นำต้นตอประกบแผลบนกิ่งพันธุ์ดี
5. พันผ้าพลาสติกให้แน่น
6. ผูกเชือกหรือลวดยึดถุงต้นตอกับกิ่งพันธุ์ดีให้แน่น
7. เมื่อทาบกิ่งเสร็จแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30-45 วัน
เพื่อให้แผลติดสนิทและให้ตัดยอดต้นตอทิ้งไป
8. ควั่นกิ่งพันธุ์ดีใต้รอยต่อ หลังจากนั้นประมาณ 2
สัปดาห์ตัดลงจากต้นพันธุ์ดีได้
5.ข้อมูลเพิ่มเติม (อื่นๆ)
การทาบกิ่งแบบฝานบวบ
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทาบกิ่ง
1. มีดบางหรือมีดที่ใช้สำหรับขยายพันธุ์
2. กรรไกรตัดแต่งกิ่ง
3. แผ่นพลาสติกขนาด ๐.๕ x ๑๒ นิ้ว
หรือเทปพลาสติกสำเร็จรูปเป็นม้วน
4. ต้นตอหรือตุ้มทาบ
5. เชือกหรือลวด
ขั้นตอนการปฏิบัติมีดังนี้
1. เตรียมต้นตอได้จากการเพาะเมล็ด การชำ หรือการตอน
โดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา ต้นตอที่นำมาใช้ควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1
เซนติเมตร หรือ เท่าแท่งดินสอ และ การเลือกกิ่งพันธุ์
ควรเป็นกิ่งที่ตั้งตรงหรือเอียงเล็กน้อย เป็นกิ่งที่สมบูรณ์ไม่เป็นโรคและแมลงรบกวน
2. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เป็นรูปโล่
3. เฉือนต้นตอเช่นเดียวกันกับกิ่งพันธุ์ดี
4. นำต้นตอประกบแผลบนกิ่งพันธุ์ดี
5. พันผ้าพลาสติกให้แน่น
6. ผูกเชือกหรือลวดยึดถุงต้นตอกับกิ่งพันธุ์ดีให้แน่น
7. เมื่อทาบกิ่งเสร็จแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30-45 วัน เพื่อให้แผลติดสนิทและให้ตัดยอดต้นตอทิ้งไป
8. ควั่นกิ่งพันธุ์ดีใต้รอยต่อ หลังจากนั้นประมาณ 2
สัปดาห์ตัดลงจากต้นพันธุ์ดีได้
การปฏิบัติดูแลหลังจากทำการทาบแล้ว
1. ควรให้น้ำแก่ต้นแม่พันธุ์กิ่งพันธุ์ดีอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับสังเกตดูน้ำในตุ้มทาบที่ทาบแบบประกับซึ่งมักจะแห้งจึงต้องให้น้ำโดยการใช้หัวฉีดฉีดน้ำเข้าไปในถุงตุ้มทาบบ้างในบางครั้ง
แต่สำหรับตุ้มทาบแบบเสียบมักจะไม่พบปัญหาตุ้มทาบแห้งเท่าใดนัก
ยกเว้นทำการทาบในฤดูแล้ง
2. กรณีที่ส่วนยอดกิ่งพันธุ์ดีหลังจากทาบแล้วมีโรคและแมลงเข้าทำลาย
ควรกำจัดโดยการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดโรค และแมลง
3.
กรณีที่มีพายุหรือฝนตกหนักต้องหาไม้มาช่วยพยุงหรือค้ำกิ่งไว้เพื่อไม่ให้กิ่งพันธุ์ที่ทำการทาบหักได้
4. กรณีที่ทำการทาบหลายตุ้มในกิ่งเดียวกันควรต้องหาไม้ค้ำ
หรือเชือกโยงไว้กับลำต้นเพื่อไม่ให้กิ่งใหญ่หักเสียหาย
ลักษณะของกิ่งทาบที่สามารถตัดไปชำได้
1. กิ่งทาบมีอายุประมาณ ๔๕-๖๐ วัน
2. สังเกตรอยแผลของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีว่าประสานกันดี
เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและนูน
3. กระเปาะหรือตุ้มทาบีความชื้นพอประมาณณ (ค่อนข้างแห้ง)
4. กระเปาะหรือตุ้มทาบมีรากเจริญออกมาใหม่เห็นชัด
รากเป็นสีน้ำตาลและปลายรากมีสีขาว
วิธีการตัดกิ่งทาบ
ให้ตัดกิ่งพันธุ์ดีตรงระดับก้นกระเปาะหรือตุ้มทาบ
เพื่อสะดวกในการย้ายชำและช่วยทำให้รอยต่อของแผลไม่หักหรือฉีกเนื่องจากน้ำหนักของส่วนยอดพันธุ์ดี
เพราะส่วนโคนกิ่งพันธุ์ดีที่ยาวเลยรอยแผลจะช่วยพยุงน้ำหนักของส่วนปลายยอดพันธุ์ดี
การชำกิ่งทาบ
เมื่อตัดกิ่งทาบจากต้นพันธุ์ดี ให้นำมาแกะเอาถุงพลาสติกออก
แล้วชำลงในถุงพลาสติกสีดำขนาด 8x10 นิ้ว หรือกระถางดินเผาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8
นิ้ว ที่บรรจุด้วย ขุยมะพร้าวล้วน ๆ หรือดินผสม ปักหลักและผูกเชือกกิ่งทาบให้แน่น
นำเข้าพักไว้ในโรงเรือนที่ร่ม รดน้ำให้ชุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 15-20
วันหรือจนกิ่งพันธุ์ดีเริ่มแตกใบใหม่ จึงนำไปปลูกหรือจำหน่ายได้
สำหรับการชำกิ่งพันธุ์ดีที่ทิ้งใบง่าย เช่น ขนุน กระท้อน
ควรพักไว้ในโรงเรือนที่มีความชื้นสูง เช่น กระโจม พลาสติก หรือโรงเรือนระบบพ่นหมอก
จะช่วยลดปัญหาการทิ้งใบของพืชนั้นลงได้
การทาบกิ่ง
การทาบกิ่ง เป็นวิธีการติดตาต่อกิ่งเช่นเดียวกับการติดตาและการต่อกิ่ง คือ
ต้นพืชที่ได้จากการทาบกิ่งจะมีส่วนยอดเป็นพันธุ์ดี
และมีรากเป็นพันธุ์ต้นตอเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การทาบกิ่งก็มีข้อแตกต่างไปจากการติดตาและการต่อกิ่งอยู่
2 ประการ คือ
ก. การทาบกิ่ง
เมื่อจะทาบจะต้องนำต้นตอเข้าไปหากิ่งพันธุ์ดี
แทนที่จะนำกิ่งพันธุ์ดีเข้าไปหาต้นตอเหมือนการติดตาและการต่อกิ่ง
ข. การทาบกิ่ง
ทั้งต้นตอและกิ่งพันธุ์ดียังมีรากเลี้ยงต้นและเลี้ยงกิ่งอยู่ทั้งคู่ ส่วนการติดตา
และการต่อกิ่งจะตัดกิ่งพันธุ์ดีจากต้นที่ต้องการมาติดหรือต่อ
จึงต้องรักษากิ่งให้มีชีวิตอยู่ได้นานที่สุดจนกว่าจะเกิดการเชื่อมกับต้นตอได้
ฉะนั้นโอกาสการติดหรือต่อได้สำเร็จจึงมีโอกาสน้อยกว่าการทาบกิ่ง
วัตถุประสงค์ของการทาบกิ่ง พอจะแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
1. การทาบกิ่งเพื่อการขยายพันธุ์
2. การทาบกิ่งเพื่อเปลี่ยนพันธุ์
สำหรับการทาบกิ่งเพื่อการขยายพันธุ์
มีวิธีการที่นิยมใช้อยู่ 2 แบบ คือ
1. การทาบกิ่งที่คงยอดต้นตอไว้
เป็นวิธีทาบกิ่งแบบประกับ (spliced-approach graft) ที่นิยมปฏิบัติกันดั้งเดิมทั่วๆ ไป
การมียอดหรือมีใบของต้นตอไว้ก็เพื่อที่จะให้ใบได้สร้างอาหารไปเลี้ยงรอยต่อให้เกิดเร็วขึ้น
และแม้การทาบจะไม่สัมฤทธิผลในครั้งแรก
ก็ยังมีโอกาสที่จะทาบแก้ตัวได้ใหม่อีกโดยที่ต้นตอไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากนักการทาบกิ่งวิธีนี้
ข้อยุ่งยากอยู่ที่จะต้องคอยรดน้ำต้นตอขณะทาบอยู่เสมอๆ
ฉะนั้นจึงไม่ใคร่นิยมทำกันในปัจจุบัน
ส่วนวิธีการทาบนั้น ปฏิบัติดังนี้
1. เลือกต้นตอ และกิ่งพันธุ์ดีให้บริเวณที่จะทาบกันมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว
1/2-1 ซม.
2.
เฉือนต้นตอบริเวณที่จะทาบกันได้สนิทและกะให้ชิดโคนต้นตอโดยเฉือนให้ลึกเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อยและให้เป็นแผลยาวราว
5-8 ซม.
3. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีในทำนองเดียวกันและให้มีความยาวเท่ากับแผลรอยเฉือนบนต้นตอ
4.
มัดหรือพันต้นตอและยอดพันธุ์ดีเข้าด้วยกันให้แผลรอยเฉือนทับกัน
โดยให้แนวเยื่อเจริญสัมผัสกันด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน
5. เมื่อแผลรอยเฉือนประสานกัน (ประมาณ 3-4 สัปดาห์) จึงบากเตือนทั้งต้นตอและกิ่งพันธุ์ดี
6. หลังจากบากเตือนได้ 1-2
สัปดาห์ ตัดโคนกิ่งพันธ์ดีออกจากต้นแม่
2. การทาบกิ่งแบบตัดยอดต้นตอออก การทาบกิ่งวิธีนี้
เป็นวิธีที่เปลี่ยนแปลงมาจากการทาบกิ่งแบบมียอดต้นตอ
โดยการปาดยอดต้นตอออกเพื่อป้องกันการคายน้ำจากต้น พร้อมกันนั้นก็จะมัดปากถุงปลูกของต้นตอ
มิให้น้ำหรือความชื้นจากเครื่องปลูกระเหยออกข้างนอกได้
การทาบกิ่งวิธีนี้สะดวกที่ไม่ต้องรดน้ำให้ต้นตอจนกว่าจะตัดกิ่งที่ติดเรียบร้อยแล้วมาปลูก
ฉะนั้นจึงสามารถทำได้ตลอดปี และถ้าใช้เครื่องปลูกต้นตอที่มีน้ำหนักเบาๆ
แล้วจะสามารถผูกต้นตอติดกับกิ่งพันธุ์ดีได้ โดยไม่ต้องใช้ไม้พยุงหรือผูกค้ำต้นตอ
วิธีการทำการทาบกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. การทาบกิ่งแบบประกับ (Approach
grafting)การทาบกิ่งแบบนี้ทั้งต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีต่างก็ยังมีรากและยอดอยู่ทั้งคู่
มักใช้ในการทาบกิ่งไม้ผลที่รอยแผลประสานกัน ช้า เช่น การทาบกิ่งมะขาม เป็นต้น
สำหรับวิธีการทาบมี 3 วิธีดังนี้
1.1 วิธีทาบกิ่งแบบฝานบวบ (Spliced
approach grafting)
1.
เลือกต้นตอและกิ่งพันธุ์ดี ให้บริเวณที่จะทาบมีขนาดพอ ๆ กันและมีลักษณะเรียบตรง
1.
เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อย รอยแผลยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ลักษณะแผลรอยเฉือนคล้ายรูปโล่
2.
เตือนต้นตอในทำนองเดียวกัน และให้มีความยาวเท่ากับแผลบนกิ่งพันธุ์ดี
3.
มัดต้นตอและยอดพันธุ์ดีเข้าด้วยกันโดยจัดแนวเยื่อเจริญให้สัมผัสกันมากที่สุด
4.
พันรอบรอยด้วยพลาสติกให้แน่น
1.4 วิธีการทาบกิ่งแบบเข้าลิ้น (Tongued
approach grafting) เป็นวิธีที่คล้ายวิธีแรก
แต่ต่างกันตรงที่รอยแผลของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีจะทำเป็นลิ้น
เพื่อให้สามารถสอดเข้าหากันได้
1.
เลือกต้นตอและกิ่งพันธุ์ดี ให้บริเวณที่จะทาบมีขนาดพอ ๆ กัน
2. เฉือนต้นตอให้มีแผลเป็นรูปโล่ยาวประมาณ
1-2 นิ้ว พยายามเฉือนให้เรียบอย่าให้เป็นคลื่น
3. จาก 1/3 ของปลายรอยแผลที่เฉือนนี้
เฉือนให้เป็นลิ้นลงมาเสมอกับโคนรอยแผลด้านล่าง
4.
เฉือนกิ่งพันธุ์ดีในลักษณะเดียวกัน
แต่ให้ลิ้นที่เฉือนกลับลงในลักษณะตรงกันกับลิ้นของต้นตอ
5.
สวมลิ้นของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีเข้าด้วยกัน โดยจัดให้แนวเยื่อเจริญสัมผัสกัน
6.
พันรอบรอยแผลด้วยพลาสติกให้แน่น
1.3 วิธีทาบกิ่งแบบพาดร่อง (Inlay
approach grafting) การทาบกิ่งวิธีนี้มักใช้เพื่อการเปลี่ยนยอด
หรือการเสริมรากให้ต้นไม้ที่มีระบบรากไม่แข็งแรง หรือ ระบบรากถูกทำลาย
วิธีทางกิ่งปฏิบัติได้ดังนี้
1.
กรีดเปลือกต้นตอตรงบริเวณที่จะทำการทาบ ให้มีความยาวประมาณ ๒-๓ นิ้ว
โดยกรีดเป็นสองรอยให้ขนานกัน และให้รอยกรีห่างกันเท่ากับเส้นผ่า
ศูนย์กลางของกิ่งพันธุ์ดี
2.
กรีดเปลือกตามขวางตรงหัวและท้ายรอยกรีดที่ขนานกัน แล้วแกะเอาเปลือกออก
3.
เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เข้าไปในเนื้อไม้เป็นรูปโล่
และให้ยาวเท่ากับความยาวของแผลที่เตรียมบนต้นตอ
4.
ทาบกิ่งพันธุ์ดีตรงบริเวณที่เฉือนนั้นให้เข้าในแผลบนต้นตอ
5.
ใช้ตะปูเข็มขนาดเล็กตอกกิ่งพันธุ์ดีติดกับต้นตอ แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น
6.
เมื่อกิ่งพันธุ์ดีและต้นตอติดกันดีแล้ว
จึงทำการตัดต้นตอเหนือรอยต่อและตัดกิ่งพันธุ์ดีใต้รอยต่อกรณีต้องการเปลี่ยนเป็นยอดพันธุ์ดี
2. การทาบกิ่งแบบเสียบ (Modified
approach grafting) เป็นวิธีทาบกิ่งที่แปลงมาจากวิธีการทาบกิ่งแบบประกับ โดยจะทำการตัดยอดต้นตอออกให้เหลือสั้นประมาณ
3-5 นิ้ว เพื่อลดการคายน้ำ สำหรับวิธีทาบแบบเสียบที่นิยมปฏิบัติกันมี 3 วิธีคือ
2.1 การทาบกิ่งแบบฝานบวบแปลง (Modified
spliced approach grafting) เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากเพราะสามารถทำได้รวดเร็ว และใช้กับพืชได้ทั่ว
ๆ ไป พืชที่นิยมใช้วิธีทาบแบบนี้ ได้แก่ มะม่วง มะขาม ขนุน ทุเรียน เป็นต้น
โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้
1.
นำต้นตอขึ้นไปทาบโดยกะดูบริเวณที่จะทำแผลทั้งต้นตอและกิ่งพันธุ์ดี
1. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเป็นรูปโล่เข้าเนื้อไม้เล็กน้อย
และให้แผลยาวประมาณ 1.5/4 นิ้ว
2.
เฉือนต้นตอเฉียงขึ้นเป็นปากฉลามให้แผลยาวเท่ากับแผลที่เตรียมบนกิ่งพันธุ์ดี
3.
นำต้นตอประกบกับกิ่งพันธุ์ดี
โดยให้แนวเยื่อเจริญทับกันด้านในด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน
4.
พันรอบรอยแผลด้วยพลาสติกให้แน่นและมัดต้นตอเข้ากับกิ่งพันธุ์ดี
2.2 การทาบกิ่งแบบเข้าบ่าขัดหลัง (Modified
veneer side approach grafting) วิธีการทาบกิ่งแบบนี้คล้ายกับวิธีฝานบวบแปลง
แต่แตกต่างกันตรงรอยแผลของกิ่งพันธุ์ดีจะเฉือนทำเป็นบ่าหรือเงี่ยงปลา
ส่วนของต้นตอจะเฉือนด้านหลังของรอยแผลปากฉลามออกเล็กน้อย
พืชที่นิยมใช้เช่นเดียวกับแบบฝานบวบแปลง โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้
1. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเอียงขึ้นเข้าเนื้อไม้ประมาณ
1/4
ของเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่งความยาวแผลประมาณ 1.5-2นิ้ว
เฉือนแผลด้านบนทำเป็นบ่าหรือเงี่ยง ปลาประมาณ 1/4 ของความยาวของแผล
2.
เฉือนต้นตอเป็นรูปปากฉลามตัดด้านหลังเอียงขึ้นเข้าหาปากฉลามขนาดความยาวแผลประมาณ
๑/๔ ของแผลปากฉลาม
3.
นำต้นตอที่ปาดเรียบร้อยแล้วสอดเข้าไปขัดกับบ่าหรือเงี่ยงปลาที่ทำไว้
แล้วจัดให้แนวเยื่อเจริญสัมผัสกันมากที่สุด
4.
พันด้วยพลาสติกให้แน่น
2.3 การทาบกิ่งแบบเสียบข้างแปลง (Modified
side approach grafting) วิธีการทาบแบบนี้มีขั้นตอนต่าง ๆ เหมือนวิธีแรก
แต่แตกต่างกันที่ลักษณะเฉือนต้นตอและกิ่งพันธุ์ดี โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
1. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเป็นมุมเอียงขึ้นประมาณ
20-30 องศา เข้าไปในเนื้อไม้ประมาณ 1/4 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่ง ความยาวแผลประมาณ 1.5-2
นิ้ว
2. เฉือนต้นตอเป็นรูปลิ่มโดยให้แผลส่วนที่สัมผัสด้านในกว่าแผลหน้าที่สัมผัสด้านนอก
3.
สอดต้นตอเข้าไปในเนื้อไม้แบบตอกลิ่ม โดยให้แนวเยื่อเจริญสัมผัสกันมากที่สุด
4.
พันด้วยพลาสติกให้แน่น
การทาบกิ่ง
การทาบกิ่ง คือ
การนำต้นพืช 2 ต้นเป็นต้นเดียวกัน โดยส่วนของต้นตอที่นำมาทาบกิ่ง
จะทำหน้าที่เป็นระบบรากอาหารให้กับต้นพันธุ์ดี โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้

1 เลือกกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนที่สมบูรณ์เพศปราศจากโรคและแมลง
2. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เป็นรูปโล่ยาวประมาณ 1 - 2 นิ้ว
3. เฉือนต้นตอเป็นรูปปากฉลาม
4. ประกบแผลต้นตอเข้ากับกิ่งพันธุ์ดี พันพลาสติกให้แน่น แล้วมัดต้นตอ กับกิ่งพันธุ์ด้วยเชือกหรือลวด
5. ประมาณ 6 - 7 สัปดาห์ แผลจะติดกันดี รากตุ้มต้นตอจะงอกแทงผ่านวัสดุ และเริ่มมีสีน้ำตาล ปลายรากมีสีขาว และมีจำนวนมากพอ จึงจะตัดได้
6. นำลงถุงเพาะชำ พร้อมปักหลังค้ำยัน ต้นเพื่อป้องกันต้นล้ม
2. เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เป็นรูปโล่ยาวประมาณ 1 - 2 นิ้ว
3. เฉือนต้นตอเป็นรูปปากฉลาม
4. ประกบแผลต้นตอเข้ากับกิ่งพันธุ์ดี พันพลาสติกให้แน่น แล้วมัดต้นตอ กับกิ่งพันธุ์ด้วยเชือกหรือลวด
5. ประมาณ 6 - 7 สัปดาห์ แผลจะติดกันดี รากตุ้มต้นตอจะงอกแทงผ่านวัสดุ และเริ่มมีสีน้ำตาล ปลายรากมีสีขาว และมีจำนวนมากพอ จึงจะตัดได้
6. นำลงถุงเพาะชำ พร้อมปักหลังค้ำยัน ต้นเพื่อป้องกันต้นล้ม
การติดตา
การติดตา
คือ การเชื่อมประสานส่วนของต้นพืชเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเป็นพืชต้น เดียวกัน
โดยการนำแผ่นตาจากกิ่งพันธุ์ดี ไปติดบนต้นตอ การติดตาจะมีวิธีการทำ 2 วิธี คือ
วิธีการติดตาแบบลอกเนื้อไม้ และแบบไม่ลอกเนื้อไม้ ซึ่งในทีนี้จะแนะนำเฉพาะขั้นตอน
การติดตาแบบลอกเนื้อไม้ ดังนี้
1. เลือกต้นตอในส่วนที่เป็นสีเขียวปนน้ำตาล
แล้วกรีดต้นตอจากบนลงล่าง 2 รอย ห่างกันประมาณ 1 ใน 3 ของเส้นรอบวงของต้นตอ ความยาวประมาณ
6 - 7 เซนติเมตร
2.
ตัดขวางรอยกรีดด้านบน แล้วลอกเปลือกออกจากด้านบนลงด้านล่าง ตัดเปลือก
ที่ลอกออกให้เหลือด้านล่างยาวประมาณ 1 เซนติเมตร
3.
เฉือนแผ่นตายาวประมาณ 7 - 10 เซนติเมตร ลอกเนื้อไม้ออกแล้วตัดแผ่นตา ด้านล่างทิ้ง
4.
สอดแผ่นตาลงไปในเปลือกต้นตอ โดยให้ตาตั้งขึ้น แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น
5. ประมาณ 7 -
10 วัน จึงเปิดพลาสติกออก แล้วพันใหม่ โดยเว้นช่องให้ตาโผล่ ออกมา ทิ้งไว้ประมาณ 2
- 3 สัปดาห์ จึงตัดยอดต้นเดิมแล้วกรีดพลาสติกออก
การเสียบยอด
การเสียบยอด คือ
การเชื่อมประสานเนื้อเยื่อของต้นพืช 2 ต้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเติบโต
เป็นต้นเดียวกัน โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
1. ตัดยอดต้นตอให้สูงจากพื้นดินประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วผ่ากลางลำต้นของ
ต้นตอให้ลึกประมาณ
3 - 4 เซนติเมตร
2. เฉือนยอดพันธุ์ดีเป็นรูปลิ่มยาวประมาณ 3 - 4 เซนติเมตร
3. เสียบยอดพันธุ์ดีลงในแผลของต้นตอ ให้รอยแผลตรงกัน แล้วใช้เชือกมัดด้านบน และล่างรอยแผลต้นตอให้แน่น
4. คลุมต้นที่เสียบยอดแล้วด้วยถุงพลาสติก หรือนำไปเก็บไว้ในโรงอบพลาสติก
5. ประมาณ 5 - 7 สัปดาห์ รอยแผลจะประสานกันดี และนำออกมาพักไว้ในโรง เรือนเพื่อรอการปลูกต่อไป
การตัดชำ
การตัดชำ คือ การนำส่วนต่าง ๆ ของพืชพันธุ์ดี เช่น ใบ และ ราก มาตัดและปักชำในวัสดุเพาะชำ เพื่อให้ได้พืชต้นใหม่จากสวนที่นำมาตัดชำ แต่ในที่นี้จะขอแนะนำขั้นตอนการตัดชำกิ่งซึ่ง มีขั้นตอน ดังนี้
1.
ตัดโคนกิ่งให้ชิดข้อยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร
โดยตัดเฉียงเป็นรูปปากฉลาม และตัดปลายบนให้เหนือตาประมาณ 1 เซนติเมตร2. เฉือนยอดพันธุ์ดีเป็นรูปลิ่มยาวประมาณ 3 - 4 เซนติเมตร
3. เสียบยอดพันธุ์ดีลงในแผลของต้นตอ ให้รอยแผลตรงกัน แล้วใช้เชือกมัดด้านบน และล่างรอยแผลต้นตอให้แน่น
4. คลุมต้นที่เสียบยอดแล้วด้วยถุงพลาสติก หรือนำไปเก็บไว้ในโรงอบพลาสติก
5. ประมาณ 5 - 7 สัปดาห์ รอยแผลจะประสานกันดี และนำออกมาพักไว้ในโรง เรือนเพื่อรอการปลูกต่อไป
การตัดชำ
การตัดชำ คือ การนำส่วนต่าง ๆ ของพืชพันธุ์ดี เช่น ใบ และ ราก มาตัดและปักชำในวัสดุเพาะชำ เพื่อให้ได้พืชต้นใหม่จากสวนที่นำมาตัดชำ แต่ในที่นี้จะขอแนะนำขั้นตอนการตัดชำกิ่งซึ่ง มีขั้นตอน ดังนี้
2. ใช้มีดปลายแหลมกรีดบริเวณรอบโคนยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร ประมาณ 2 - 3 รอย
3. ปักกิ่งชำลงในวัสดุเพาะชำ ลึกประมาณ 2.5 - 5 เซนติเมตร
4. นำเข้าโรงอบพลาสติก หรือถุงพลาสติกขนาดใหญ่
5. ประมาณ 25 - 30 วัน กิ่งตัดชำจะแตกยอกอ่อน พร้อมออกราก เมื่อมีจำนวนมากพอ จึงย้ายปลูกต่อไป
ลักษณะของต้นมะนาว
ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 เซนติเมตร ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย
สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีใบดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม
ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแล้ง จะออกผลน้อย
และมีน้ำน้อยมะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน
น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม
ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย
และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว
เพื่อใช้แต่งรสในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด
น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม
และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน
ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่
19) ก็คือ การป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านาน
ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมากมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น
เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน
(Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล
(Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic
Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป
พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
ชื่อของมะนาว
มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธาน
สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคยของมะนาว ก็คือ Citrus aurantifolia
Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm
& Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้
C. acida Roxb.
C. lima Lunan
C. medica var. ácida Brandis และ
Limonia aurantifolia Christm
ลักษณะของต้นมะนาว
ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
4 – 4.5 เซนติเมตร ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร
ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีใบดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง
ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแล้ง จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย
มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน
น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม
ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย
และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ
เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7%
แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด
น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม
และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน
ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่
19) ก็คือ การป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านาน
ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมากมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น
เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล
อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก
(Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง
เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ
กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
ชื่อของมะนาว
มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย
ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธาน สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคยของมะนาว
ก็คือ Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ
อีก ดังนี้
C. acida Roxb.
C. lima Lunan
C. medica var. ácida Brandis และ
Limonia aurantifolia Christm
สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น
ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica lime, West Indian lime, และ Key lime หรือเรียก lime สั้นๆ ก็ได้
สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ
ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้
ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ เช่น โกรยชะม้า, ปะนอเกล, ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้าอนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง
ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ มะนาวเทศ (Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน(Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน มะนาวควาย หรือ
ส้มซ่า (Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน
แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กันส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว
เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น
เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว
อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้นพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยมะนาวไข่ ผลกลม
หัวท้ายยาว มีสีอ่อนคล้ายไข่เป็ด ขนาด 2-3 เซนติเมตร เปลือกบางมะนาวแป้น ผลใหญ่
ค่อนข้างกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมาก นิยมใช้บริโภคมากกว่าพันธุ์อื่นๆ
ในเชิงพาณิชย์จะปลูก มะนาวพันธุ์แป้นรำไพและพันธุ์แป้นดกพิเศษ
สามารถบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ง่าย มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวท้ายแหลม
เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีเปลือกหนา
ทำให้เก็บรักษาผลได้นานมะนาวทราย ทรงพุ่มสวยใช้เป็นไม้ประดับ
ให้ผลตลอดปีแต่ไม่ค่อยนิยมบริโภค เพราะน้ำมีรสขมเจือปนมะนาวพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่
มะนาวฮิตาชิ, มะนาวหวาน, มะนาวปีนัง, มะนาวโมฬี, มะนาวพม่า, มะนาวเตี้ย
และมะนาวหนัง เป็นต้น (มะนาวบางพันธุ์อาจเรียกได้หลายชื่อ
แต่ในที่นี้ไม่ได้สืบค้นเพื่อจำแนกเอาไว้)
สรรพคุณทางยา
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค
ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี
ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วยมะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร
ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ
แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิว
และยังสามารถมีฤทธิ์ในการกัดด้วยเป็นต้นสำนวนเกี่ยวกับมะนาว
·
มะนาวไม่มีน้ำ หมายถึง พูดไม่น่าฟัง
ไม่ไพเราะ ไม่รื่นหู ห้วนๆ ขาดความนุ่มนวล
·
องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน (จากนิทานอีสป
แต่ใช้กันมานาน จนรู้สึกราวกับเป็นสำนวนไทยแท้) หมายถึง
เลี่ยงที่จะยอมรับในสิ่งที่ตนต้องการ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จ
หรือเป็นไปไม่ได้ และยอมรับสิ่งที่ไม่ต้องการแทน
นอกจากนี้ยังมีการเล่นของเด็ก
เรียกว่า "ซักส้าว" ที่มีเนื้อร้องกล่าวถึง "มะนาว" ดังนี้
ซักส้าวเอย
มะนาวโตงเตง
ขุนนางมาเอง จะเล่นซักส้าว
มือใครยาวสาวได้สาวเอา
มือใครสั้นเอาเถาวัลย์ต่อเข้า
มะนาว
มะนาว หรือในชื่อภาษาอังกฤษที่เรียกว่า
Lime
ผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรสชาติเปรี้ยวมากๆ ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลของ ส้ม
นั่นเองหลายคนสงสัยว่า แล้วคำว่า Lemon ที่ในบ้านเราเข้าใจว่ามันคือมะนาว แล้วตกลงมันคืออะไร
จริงๆแล้วไอคำว่า เลมอน (Lemon)
ความหมายที่ถูกต้องของมันก็คือ ผลส้มชนิดหนึ่งที่มีหัวท้ายมน หรือมะนาวที่มีผลเป็นลูกออกสีเหลืองใหญ่
ไม่ใช่ผลกลมๆสีเขียวลูกเล็กๆอย่างมะนาวในบ้านเรา (ลองดู
ภาพประกอบ)โดยชื่อวิทยาศาสตร์มะนาวก็คือ Citrus Aurantifolia Swingle หรือ Citrus Aurantifolia Swing
การปลูกมะนาวเดิมแล้วมะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้ที่อยู่ใยภูมิภาคนี้จีงรู้จักการใช้ประโยชน์จากมะนาวกันเป็นอย่างดี
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยนี่เอง
สรรพคุณของมะนาว
1.ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
2.ช่วยแก้อาเจียน
เป็นลมวิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้
3.ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ
4.รู้หรือไม่ว่ามะนาวก็เป็นยาอายุวัฒนะ
และช่วยในการเจริญอาหารได้ด้วย
5.แก้อาการวิงเวียนหลังคลอดบุตร
6.แก้อาการลมเงียบ
ด้วยการเอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอม
7.แก้โรคตาแดง
8.ใช้เป็นยาแก้ไข้ก็ได้เหมือกัน
ด้วยการนำใบมาหั่นเป็นฝอยๆ แล้วนำมาชงในน้ำเดือด
ดื่มเป็นน้ำชาหรือใช้อมกลั้วคอเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค
9.ใช้ในการแก้ไข้ทับระดู
ด้วยการเอาใบมะนาวประมาณ 100 ใบมาต้มกิน
10.สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด
หรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะในมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก
11.มะนาวช่วยในการขับเสมหะ
12.ช่วยแก้ไอ
หรืออาการไอที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ดีในระดับหนึ่ง
13.ช่วยบรรเทาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ
14.ช่วยบรรเทาอาการเสียบแหบแห้ง
15.ช่วยลดอาการเหงือกบวม
16.ใช้เป็นยาบ้วนปาก
ด้วยการใช้น้ำมะนาว 3-4 หยด ก็จะทำให้ช่องปากสะอาดมากยิ่งขึ้น
17.ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า
ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
18.ช่วยในการขจัดคราบบุหรี่
19.แก้เล็บขบ
ด้วยการนำมะนาวมาผ่าส่วนหัวแล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย แล้วใช้ปูนทาบางๆ
แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป
20.ก้างติดคอ
ให้นำน้ํามะนาว 1 ลูกมาคั้นแล้เติมเกลือ
ใส่น้ำตาลเล็กน้อยแล้วกรอกลงไปให้ตรงกับบริเวณที่ก้างติดคอ
อมไว้สักครู่แล้วค่อยๆกลืน ก้างปลาจะอ่อน ตัวลงแล้วหลุดลงไปในกระเพาะ
21.ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ ปวดท้อง แน่นท้อง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาใช้กินกับน้ำตาล
22.แก้อาการท้องร่วง
ด้วยการดื่มน้ำมะนาว
23.ช่วยการขับพยาธิไส้เดือน
ด้วยการดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว
24.
ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อย ก็เป็นยาระบายชั้นดี
25.ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
ด้วยการนำเปลือกมะนาวมาชงกับน้ำอุ่น และดื่มเป็นยา
26.แก้อาการบิด
ด้วยการใช้มะนาวกับน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน แล้วนำมาดื่ม
27.แก้อาการปัสสาวะกระปริบกระปอย
ด้วยการใช้ใบนะนาวสดต้มกับน้ำตาลแดง แล้วน้ำมาดื่ม
28.สรรพคุณของมะนาวก็ช่วยรักษาโรคนิ่วได้เหมือนกัน
29.แก้อาการระดูขาว
ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือกับน้ำตาลนิดหน่อย
30.
แก้ผิดสำแลง นำรากมะนาวมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำมารับประทาน
31.ช่วยฟอกโลหิต
ด้วยการนำใบมะนาวต้มผสมกับน้ำแล้วนำมาดื่มเป็นประจำ
32.ช่วยบำรุงโลหิต
รักษาโรคโลหิตจาง ด้วยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร
ใส่น้ำแข็งนำมาดื่ม
33.แก้โรคเหน็บชา
ร้อนในกระหายน้ำด้วยการดื่มน้ำมะนาว
34.ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาล
35.การดื่มน้ำมะนาวจะช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้อีกด้วย
36.รักษาโรคผิวหนัง
ด้วยการนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณที่เป็น
37.บรรเทาอาการคันบริเวณผิวหนัง
38.แก้สังคัง
ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วนำมาทาบริเวณดังกล่าว เป็นประจำก่อนเข้านอนแล้วหลังตื่นนอน
39.แก้ปัญหา
กาก เกลื้อน หิด ด้วยการนำกำมะถันมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาว
แล้วนำมาทาบริเวณดังกล่าวหลังอาบน้ำ
40.แก้หูด
ด้วยการใช้เปลือกมะนาวนำมาหมักกับน้ำส้มสายชูประมาณ 2 วันแล้วนำเปลือกมาปิดทับบริเวณที่เป็นหูด
41.แก้ฝีและอาการปวดฝี
โดยใช้รากมะนาวสดมาฝนกับเหล้าและนำมาทา ขูดเอาผิวมะนาวผสมกับปูนแดงปิดไว้
42.แก้ฝีมะตอย
ด้วยการนำมะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ด้านในออกให้พอเอานิ้วแหย่เข้าไปได้
แล้วนำมาปูนกินหมากทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมนิ้วเข้า ไป
43.รักษาโรคน้ำกัดเท้า
หรือปูนซีเมนต์กัดเท้าด้วยการใช้น้ำมะนาวทาบริเวณดังกล่าว
ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก
44.แก้ผิวหนังฟกช้ำ
หัวโน อาการปวดบวม ปูดแดง ด้วยนำน้ำมะนาวกับดินสอพองมาผสมให้เข้ากัน
แล้วทาบริเวณดังกล่าววันละ 1-2 ครั้ง
45.แก้แผลไฟไหม้
น้ำร้อนลวก พุพองแสบร้อน ด้วยการใช้น้ำมะนาวชโลมบริเวณดังกล่าว
46.แก้แผลบาดทะยัก
ด้วยการใช้น้ำมะนาวมาทาบริเวณที่เกิดบาดแผล
47.ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น
ด้วยการใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองให้เข้ากัน แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นรอยแผล
48.ช่วยบรรเทาอาการคันหนังศีรษะ
ด้วยการใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วแล้วค่อยสระผม
49.น้ำมะนาวช่วยดับกลิ่นเต่าหรือกลิ่นกายได้เหมือนกัน
โดยนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณรักแร้
50.แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
51.แก้พิษจากการโดนงูกัด
52.ป้องกันภัยจากงู
ด้วยการใช้เปลือกวางไว้บริเวณใกล้ที่นอนๆ งูจะไม่มารบกวนเพราะได้กลิ่นมะนาว
53.แก้แมงคาเรืองเข้าหู
ด้วยการใช้น้ำมะนาวหยอดหู
54.หุงข้าวให้ขาวและอร่อยขึ้น
ด้วยการนำน้ำมะนาวประมาณ 2-3 ช้อนแล้วนำไปซาวข้าว
55.ทอดไขให้ฟูและนิ่ม
มะนาว 4-5 หยดจะช่วยได้
56.มะนาวช่วยลดกลิ่นคาวจากปลาเมื่อทำอาหาร
และทำให้ปลาคงรูปไม่เละ
57.สำหรับแม่ครัวที่หั่นหรือเด็ดผักเป็นประจำ
จะทำให้เล็บมือเป็นสีดำ นำมะนาวมาถูจะช่วยปัญหาดังกล่าวได้
58.หากใช้มีดผ่าปลีกกล้วย
มีดจะมีสีม่วงคล่ำ ล้างออกลำบาก
นำมานาวที่ผ่าแล้วมาถูกตามใบมีดจะช่วยมีดของคุณสะอาดดังเดิม
59.การเชื่อมกล้วยหักมุมให้น่ารับประทาน
เมื่อน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูมแล้ว ให้บีบมะนาวครึ่งซึกลงไป
จะช่วยให้กล้วยใสน่าทานมากยิ่งขึ้น
60.มะนาว
2-3 ลูกใส่ไว้ในถังข้าวสารช่วยป้องกันมอดได้
61.เปลือกมะนาวสามารถนำมาเช็ดภาชนะให้เงางามขึ้นได้
เช่น เครื่องเงิน ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น
ประโยชน์ของมะนาว
1.
ช่วยบำรุงตาของคุณให้สดใสอยู่เสมอ
2.
มะนาวประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เช่น วิตามินเอ
วิตามินซี ธาตุแคลเซียม
ธาตุฟอสฟอรัส
กรดซิตริก กรดมาลิค
3.
ในผลมะนาว 1
ลูกจะมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มากถึง 7%
ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ในการผสมเป็นน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ น้ำยาล้างจาน เป็นต้น
4.
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นหอมสดชื่น
(Aromatherapy)
5.
มะนาวมีฤทธิ์ที่ช่วยในการกัดด้วยซึ่งถือว่าเป็นกรดผลไม้อย่างหนึ่ง
(AHA) ที่เป็นที่ยอมรับในการช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป
6.
น้ำมะนาวจะเป็นที่นิยมใช้กันมากในบ้านเรา
ในการนำมาปรุงรสชาติอาหาร
7.
เพื่อใช้แต่งรสชาติให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด
โดยจะนิยมฝานมะนาวออกเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้วนั่นเอง
8.
สำหรับประโยชน์ของเปลือกมะนาวนั้น
เมื่อบีบน้ำออกหมดแล้วให้นำมาทาบริเวณคาง เข่า ข้อศอก
ส้นเท้า ก็จะช่วยผิวบริเวณเหล่านี้มีความนุ่มนวลเพิ่มมากขึ้น และนอกจากนี้ยังใช้เปลือกผลแห้งนำมาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้จุกเสียดแน่นท้อง
ขับเสมหะ บำรุงกระเพาะได้อีกด้วย
9.
ประโยชน์ของมะนาวสำหรับผู้ที่เป็นสิวฝ้า
มะนาวจะช่วยรักษาสิวของคุณให้ลดน้อยลงได้ เพราะมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ จะทำให้ลดการอุดตันรูขุมขนจากสิวและยังช่วยในการขจัดความมันและเชื้อโรคบนใบหน้าได้ด้วย
โดยคุณสามารถนำดินสอพองกับมะนาวมาผสมกันแล้วทาบริเวณสิวก่อนนอนทุกวัน
สิวจะค่อยๆยุบลงไปเอง
10. แก้ปัญหาผิวแตก
ด้วยใช้นำมะนาวมาทาบริเวณดังกล่าว
11. แก้ปัญหาขาลาย
สีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วยการนำดินสอพองกับมะนาวมาผสมกันแล้วทาทิ้งไว้ก่อนนอน
แล้วจึงล้างออกในตอนเช้า
12.
แก้ปัญหาส้นเท้าแตก
ด้วยการนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณส้นเท้า วันละ 3 เวลา
13.
การแปรรูปมะนาว
มะนาวแปรรูปเป็นอะไรได้บ้าง? เช่น
น้ำมะนาวปรุงอาหาร มะนาวแช่อิ่มตากแห้ง น้ำมะนาวเข้มข้น มะนาว ผง เครื่องดื่มผสมน้ำมะนาว
แยมมะนาว เยลลี่มะนาว แยมเปลือกมะนาว แยมนะนาวดอง มะนาวดองเค็ม มะนาวหวาน
กิมจ้อมะนาว เปลือกมะนาวสามรส เปลือกมะนาวเส้นปรุงรส เปลือกมะนาวเชื่อม
เปลือกมะนาวแช่อิ่ม มาร์มาเลดมะนาว เป็นต้น
ข้อมูลทางโภชนาการของมะม่วงดิบต่อ
100 กรัม
·
เส้นใย 2.8 กรัม
·
ไขมัน 0.2 กรัม
·
วิตามินซี 29.1 มิลลิกรัม 35%
·
ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม 3%
·
ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม 3%
ชื่อไทย
|
มะนาว
|
ชื่อสามัญ
|
Lime
|
ชื่อพฤกษศาสตร์
|
Citrus
aurantifolia L.
|
ชื่อวงศ์
|
RUTACEAE
|
แหล่งกำเนิดและการกระจายพันธุ์
|
อินเดียตอนเหนือ
|
ต้นกระสัง
ผักกะสังกลับมาให้คนได้รับรู้อีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการที่ไปส่งเสริมการปลูกวัตถุดิบสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ที่บ้านดงบัง
ตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ชุมชนที่นี่มีภูมิปัญญามากมายในการใช้สมุนไพรและการกินผักพื้นบ้าน
แต่เมื่อมีการปลูกพืชตามระบบเคมีทำให้ผักพื้นบ้านหลายชนิดหายไป และไม่กล้าเก็บผักรอบบ้านหรือตามหัวไร่ปลายนามากินอีก
เพราะรู้ว่าเพิ่งฉีดยาฆ่าหญ้าหรือยาฆ่าแมลงไป เมื่อหันมาปลูกวัตถุดิบสมุนไพรเกษตรอินทรีย์
ผักพื้นบ้านหลายชนิดกลับมางอกงาม พวกเขากล้าเก็บผักพื้นบ้านมากินไม่ต้องเสียเงินซื้อผักจากตลาดอีก
ผักกะสัง เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นผักกะสังมีรสเผ็ดหอม มีสรรพคุณทางหยาง
(จัดแบ่งง่ายๆ ว่า หยินคือเย็น หยางคือร้อน) เรื่องรสยาเผ็ดหอมนี้
ยังพออธิบายได้อีกมุมมองหนึ่งว่า ผักกะสังกับพริกไทยนั้นเป็นพี่น้องกัน มีคนลองนำเอาผักกะสังมาขยายใหญ่ให้เท่าต้นพริกไทย
มองใบสีเขียวใสๆ ให้เป็นสีเขียวเข้ม ก็จะเห็นหน้าตาผักกะสังเหมือนกับต้นพริกไทย นอกจากนี้ถ้าได้กินผักกะสังที่ยังมีเมล็ดเกาะกันเป็นช่อ
คล้ายช่อเมล็ดพริกไทย ก็จะได้ลิ้มรสเผ็ดนิดๆ ซ่าน้อยๆ ที่ลิ้น ผักกะสังเป็นผักสมบูรณ์แบบชนิดหนึ่งทั้งรสชาติ
รูปร่างหน้าตาโดยนำมากินสดๆ หรือลวกกินกับน้ำพริก กินเป็นสลัด หรือยำกินก็ได้ หรือนำมาจัดเป็นแจกันผักขนาดเล็กเป็นผักแกล้มบนโต๊ะกินข้าวก็น่าชมไม่น้อยผักกะสังถือว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง
เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่า ผักกะสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินซีสูง
เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือมะนาว 100 กรัม มีวิตามินซี 20 มิลลิกรัม ส่วนผักกะสังมีอยู่ 18 มิลลิกรัม รวมทั้งทางสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยวิเคราะห์หาธาตุอาหารในพืชผักต่างๆ
พบว่าผักกะสัง 1 ขีด หรือ 100 กรัม มีเบต้าแคโรทีน
ราว 295 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล การที่ผักกะสังมีธาตุอาหารต้านมะเร็งอยู่สูงขนาดนี้
ผักกะสังจึงจัดว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง“ยำผักกะสัง”
โด่งดังขึ้นจากการที่หมู่บ้านดงบังต้องการให้คนเข้าไปชมวิถีการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์
จึงได้พัฒนาตนเองเพื่อเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ได้มีการค้นหาเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน สิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญนอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว
แม่บ้านของชุมชนนี้ทำอาหารอร่อยมาก เช่น แกงบอน แกงปลาดุกใส่ไพลดำ
ยำผักกะสังและตำรับอาหารอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อเปิดตลาดออกไปอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือยำผักกะสัง
มีสื่อมวลชนมากมายไปชิมและนำสูตรมาเผยแพร่ ปัจจุบันสูตร “ยำผักกะสัง”
ของหมู่บ้านดงบังเป็นที่รู้จักกันดี ไม่มีการจดสิทธิบัตร ใครจะเชื่อว่าผักกระสังเป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้
แต่ได้นำมาปลูกในประเทศที่มีอากาศร้อนทั่วๆ ไปรวมทั้งประเทศไทย แต่เราลืมมันไปจากกลไกผักตลาดที่ผลิตแบบเคมี
ต้องขอบคุณชาวบ้านดงบังที่ทำให้ผักกระสัง
กลับมาสู่สังคมผักกะสัง...รักษาโรคลักปิดลักเปิดในตำรายาไทยระบุไว้ว่าใบของผักกะสังใช้ในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด
ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า ในผักกะสังมีวิตามินซีและสารอาหารสูง ซึ่งการรักษานั้นใช้ทั้งการกินและการบดต้นแปะบริเวณที่เลือดออกตามไรฟัน
ผักกะสัง…รักษา เริม ฝี มะเร็งเต้านมหมอยาพื้นบ้านของไทยใช้ผักกะสังเป็นยาไม่มากนักส่วนใหญ่ใช้พอกฝีและสิวโดยใช้ต้นสดตำพอกฝี
หรือใช้น้ำคั้นทาสิว ในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี หรือตุ่มหนอง
และโรคผิวหนังอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาสมัยใหม่พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด
ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น
“ผักกะสังรักษาเริมและมะเร็งเต้านม” ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่แมะ
(มือลอ มะแซ) ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาบอกว่า ผักกะสังเป็นยารักษาเริม
มะเร็งเต้านม และฝี ในการรักษาเริมนั้นจะนำต้นผักกะสังผสมกับขมิ้นและข้าวสาร
(ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียดแล้วพอกทิ้งไว้ 1 คืน
และนำใบมาตำขยำแปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม แก้มะเร็งเต้านม ข้อมูลที่ว่าผักกะสังใช้รักษามะเร็งนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยและเป็นที่น่าทึ่งตรงที่ว่ามีรายงานการศึกษาพบว่า
สารในผักกะสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วย นอกเหนือไปจากการแก้อักเสบและแก้ปวดผักกะสัง…แก้อักเสบ ข้ออักเสบ เก๊าท์หมอยาพื้นบ้านบางคนบอกว่ากินผักกะสังแก้ปวดข้อ ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์มีการกินผักกะสังสดๆ
หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าท์และข้ออักเสบ โดยนำผักกะสังต้นยาวสัก 20 เซนติเมตร ต้มกับน้ำ 2 แก้ว ให้เหลือประมาณ 1 แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น ปัจจุบันผักกะสังเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรวมทั้งโรคเก๊าท์จากการที่ผักกระสังสามารถลดปริมาณกรดยูริคในกระแสเลือด
ผักกะสัง…บำรุงผิว บำรุงผมผักกะสังยังเป็นสมุนไพรสำหรับผู้หญิงอีกชนิดหนึ่งนอกจากใช้รักษาสิวแล้ว
สาวๆ สมัยก่อนยังใช้น้ำต้มผักกะสังล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวหน้าสดใส และนอกจากนี้ คุณสารีป๊ะ
อาแวกือจิ ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกวั๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา บอกว่าผักกะสังเป็นยาสระผมทำให้ผมนุ่มโดยนำใบขยำกับน้ำชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็น
ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมนุ่ม ซึ่งอธิบายได้ว่าผักกะสังมีธาตุอาหาร
มีความเป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ
ต้านเชื้อราและแบคทีเรียผักกะสังเป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้เป็นยามากมาย ในโบลิเวียมีบันทึกที่มีอายุนับพันปีชื่อ
Altenos Indians document กล่าวไว้ว่า ผักกะสังทั้งต้นบดผสมน้ำใช้กินเพื่อห้ามเลือด
ใช้ส่วนรากต้มกินรักษาไข้ ใช้ส่วนเหนือดินโปะแผล นอกจากนี้ ในประเทศอื่นๆ ที่มีผักกะสังขึ้นอยู่จะใช้ผักกะสังในการรักษาอาการปวดท้องทั้งแบบธรรมดาและปวดเกร็ง
ฝี สิว แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก อ่อนเพลีย ปวดหัว ระบบประสาทแปรปรวน หัด อีสุกอีใส มีแก๊สในกระเพาะ
ปวดข้อรูมาติก และยังมีการใช้เฉพาะบางท้องถิ่นเช่น ในบราซิลใช้ในการลดคอเลสเตอรอล
ในกียานา (Guyana) ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดไข่ขาวในปัสสาวะ
ในแถบอเมซอนใช้ขับปัสสาวะ หล่อลื่น หัวใจเต้นผิดปกติ ส่วนในมาเลเซียเชื่อว่าการรับประทานผักกะสังจะช่วยรักษาโรคตาและต้อ
(glaucoma) ปัจจุบันมีสารสกัดจากผักกะสังจำหน่ายในต่างประเทศ
ผักกระสังมีสรรพคุณทางหยาง (จัดแบ่งง่ายๆ ว่า หยิน คือเย็น หยาง
คือร้อน) ของสรรพคุณยาไทย หมอยาพื้นบ้านมักจะใช้ผักกระสังตำพอกฝี หรือคั้นเอาน้ำทาแผลฝีที่มีหนอง
ผักกระสังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ใบยังนำมารักษาโรคลักปิดลักเปิด แก้ไข้ แก้อักเสบ จากสรรพคุณตรงนี้ทำให้มีชาวบ้านกินผักกระสังเพื่อรักษาอาการปวดข้อ
ข้ออักเสบ และยังเชื่อว่าการใช้น้ำต้มผักกระสังล้างหน้าจะทำให้ผิวสวย ปัจจุบันมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
มีฤทธิ์ต้านการอักเสบมีฤทธิ์แก้ปวด และไม่มีพิษภัย ประเทศฟิลิปปินส์ก็มีการกินผักกระสังสดๆ
หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าและข้ออักเสบ
โดยวิธีการต้มให้นำผักกระสังต้นยาวสัก 20 ซม. ต้มกับน้ำ 2
แก้ว ให้เหลือประมาณ 1 แก้ว
แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น นอกจากนี้ชาวฟิลิปปินส์ยังใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี
หรือตุ่มหนองปัจจุบันผักกระสังเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้
เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบและโรคเก๊า ส่วนในมาเลเซียเชื่อว่าการรับประทานผักกระสังจะช่วยรักษาโรคตาและต้อ
(glaucoma) การศึกษาวิจัยในปัจจุบันยังพบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมี
วิตามินซีสูง เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือ มะนาว100 กรัมมีวิตามินซี
20 มิลลิกรัม ส่วนผักกระสังมีอยู่ 18 มิลลิกรัม
ทางสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยวิเคราะห์หาธาตุอาหารในพืชผักต่างๆ
พบว่าผักกระสัง1 ขีด หรือ 100 กรัม มีเบต้า
– แคโรทีนราว 295 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
ลองนึกดูเบต้า-แคโรทีนของสดของแท้หาไม่ได้จากแคปซูล มีเฉพาะในผักสดๆ เท่านั้น และผักกระสังมีอยู่สูงขนาดนี้
ผักกระสังจึงจัดว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง คนไทยในอดีตรู้จักกินผักกระสัง แต่เวลานี้ผักกระสังเกือบจะหายไปจากสาระบบของผักที่กินในสังคมของเราแล้ว
โชคดีที่หลายหน่วยงานทังรัฐ และองค์กรพัฒนาเอกชนต่างช่วยกันฟื้นฟูและส่งเสริมการกินผักพื้นบ้านของไทย
มากขึ้น ดังเช่น ในหมู่บ้านดงบัง ตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี
การแพร่ระบาดของโรคแคงเกอร์ในมะนาว : เชื้อแบคทีเรียกระเซ็นทางน้ำและลมฝน
โดยจะเข้าสู่ต้นมะนาวจากทางเนื้อเยื่อที่เป็นโรคไปยังส่วนอื่นของลำต้น
สภาพที่มีฝนตกชุกทำให้โรคระบาดมาก วิธีการให้น้ำโดยการฉีดเข้าทางทรงพุ่มก็จะแพร่โรคให้ระบาดมาก
แหล่งแพร่ระบาดคือ ส่วนของต้นที่เป็นโรคที่ตกค้างภายในสวนและกิ่งพันธุ์ที่เป็นโรค การระบาดของหนอนชอนใบจะช่วยแพร่โรคบนใบด้วยการป้องกันกำจัด
ลักษณะของโรคแคงเกอร์ในมะนาว :
โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในแทบทุกส่วนของต้นมะนาว ทั้งที่ใบ ที่กิ่งก้าน และผล โดยอาการที่ใบและผล จะมีลักษณะคล้ายกัน คือจะเกิดเป็นแผลไหม้มีลักษณธกลม แล้วจะขยายใหญ่ ฟู นูนคล้ายฟองน้ำ มีสีเหลืองอ่อนถึงสีเหลืองเข้ม ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และจะแตกเป็นสะเก็ด มีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบแผล ส่วนอาการที่กิ่งก้าน จะมีแผลฟูนูนสีเหลือง ต่อมาแผลจะ แตกแห้งเป็นสีน้ำตาลขยายไปรอบๆ กิ่ง รูปร่างธองแผลไม่แน่นอน และไม่มีวงแหวนล้อมรอบ เมื่อต้นมะนาวเป็นโรคนี้มากๆ จะแสดงอาการต้นโทรม แคระแกร็น ใบร่วง ผลผลิตลดลง กิ่งและต้นจะแห้งตายในที่สุด
โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในแทบทุกส่วนของต้นมะนาว ทั้งที่ใบ ที่กิ่งก้าน และผล โดยอาการที่ใบและผล จะมีลักษณะคล้ายกัน คือจะเกิดเป็นแผลไหม้มีลักษณธกลม แล้วจะขยายใหญ่ ฟู นูนคล้ายฟองน้ำ มีสีเหลืองอ่อนถึงสีเหลืองเข้ม ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และจะแตกเป็นสะเก็ด มีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบแผล ส่วนอาการที่กิ่งก้าน จะมีแผลฟูนูนสีเหลือง ต่อมาแผลจะ แตกแห้งเป็นสีน้ำตาลขยายไปรอบๆ กิ่ง รูปร่างธองแผลไม่แน่นอน และไม่มีวงแหวนล้อมรอบ เมื่อต้นมะนาวเป็นโรคนี้มากๆ จะแสดงอาการต้นโทรม แคระแกร็น ใบร่วง ผลผลิตลดลง กิ่งและต้นจะแห้งตายในที่สุด
บทที่ 3
วิธีกาดำเนินการศึกษาค้นคว้า
ในการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
ผู้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าได้มีวิธีการดังขั้นตอนต่อไปนี้
1.
กำหนดขอบเขตในการศึกษาค้นคว้า
ผู้ดำเนินการศึกษาได้กำหนดขอบเขตในการศึกษาค้นคว้าดังนี้
1.1 ขอบเขตการศึกษา ได้แก่
1.
เพื่อศึกษาที่มาของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
2. เพื่อศึกษาประวัติของการทาบกิ่งมะนาว
3. เพื่อศึกษาการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังได้จริงหรือไม่
4.
เพื่อศึกษาประโยชน์ของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
1.2
ขอบเขตด้านประชากรได้แก่
นักเรียนชั้นมะยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 5 จำนวน 34 คน
1.3 ขอบเขตด้านระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557
2.
วิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้เรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
เป็นแผ่นพับเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจได้ศึกษา
3.
นำรายงานไปวิเคราะห์สังเคราะห์ไว้ไปให้คุณครูประจำวิชาตรวจสอบความถูกต้องก่อนการเผยแพร่
4. ออกแบบสำรวจความคิดเห็นเรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังโดยออกแบบประเมินค่า
เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย กับการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังจะสามารถทำได้จริงหรือไม่
แล้วนำแบบสำรวจไปให้คุณครูประจำวิชาตรวจสอบความถูกต้องด้านเนื้อหาและโครงสร้าง
หลักจากนั่นนำเอาข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไขมาแล้วพิมพ์เป็นฉบับจริง
5.สรุปผลการตรวจความคิดเห็นโดยรวมคือไม่สามารถสรุปได้ว่าระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมตะวันตกได้เพราะมันขึ้นกับทัศนะวิสัยของแต่ละบุคคล
บทที่ 4
สรุปผลการศึกษาค้นคว้า
ในการศึกษาเรื่อง
การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
ผู้นำเสนอการศึกษาค้นคว้าได้กำหนดวัตถุประสงค์และสมมุติฐานไว้ดังนี้
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อศึกษาที่มาของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
2. เพื่อศึกษาประวัติของการทาบกิ่งมะนาว
3. เพื่อศึกษาการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังได้จริงหรือไม่
4.
เพื่อศึกษาประโยชน์ของการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
สมมุติฐาน
ศึกษาการทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังได้จริงหรือไม่
สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
การทาบกิ่ง
การทาบกิ่งหมายถึงการนำต้นไม้ 2 ต้นที่ต่างก็มีรากของตนเองมาทาบกันโดยต่อเข้าด้วยกันและเมื่อแผลเชื่อมกันสนิทดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอ(stock) และตัดโคนของต้นพันธุ์ดี(scion) ออก
ส่วนใหญ่การทาบกิ่งจะใช้ต้นตอที่เพาะจากเมล็ดใส่ถุงพลาสติกขึ้นไปทาบกิ่งของต้นพันธุ์
ดีที่ปลูกไว้ก่อนจนมีกิ่งก้านพอที่จะทาบได้จำนวนมาก การทาบกิ่งทำได้ทุกฤดู
แต่แผลจะเชื่อมติด กันได้เร็วในฤดูที่ต้นไม้กำลังเติบโต(ฤดูฝน)
หลังจากทาบกิ่งแล้วต้องใช้ผ้าพลาสติกพันแผลหรือ ใช้ขี้ผึ้งทาให้รอบแผล
แนวคิดแบบตะวันตก
เมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษา และการพิมพ์ วรรณกรรมตะวันตก
ทั้งที่เป็นแนววิชาการ และบันเทิง จึงได้แพร่หลายเข้ามาสู่สังคมไทย
และมีอิทธิพลต่อการสร้างแนวคิด และสำนึกของไทย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การเข้าใจถึงคุณค่าของมนุษย์ และความทัดเทียมกัน
แนวคิดต่างๆ เหล่านี้ ได้สะท้อนออกมาในรูปของวรรณกรรม ที่ตีพิมพ์ในภาษาไทย
ประโยชน์ของการทาบกิ่ง
1.เป็นการขยายพันธุ์ของต้นพืชพันธุ์ดีให้มากขึ้น
โดยทำให้เจริญเติบโตได้ดีบนต้นตอที่แข็งแรง
2. ทำให้ได้ต้นพืชพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตรวดเร็ว
หลังจากทาบกิ่งและนำไปปลูกในเวลาไม่นาน
3.
ทำให้ได้ต้นพันธุ์ดีที่แข็งแรงทนทานต่อการหักโค่นเนื่องจากลมเพราะมีรากแก้วของต้นตอ
ช่วยค้ำจุน
4. ทำให้พืชบางชนิดที่ขยายพันธุ์ได้ยาก สามารถดำรงพันธุ์ไว้ได้
สรุป
การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสังมีความเป็นไปได้สูงที่สามารถประสบผลสำเร็จ
บทที่ 5
อภิปรายและขอเสนอแนะ
จากการศึกษาค้นคว้า
เรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่ากิ่งมะนาวจะมีการเจริญเติบโตที่ช้าเพราะการทาบกิ่งมะนาวมีน้ำเลี้ยงที่บริเวณลำต้นน้อยมากต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าเป็นเวลานาน
และพบว่าระยะเวลาที่ลำต้นของต้นกะสังจะมีการพัฒนาเจริญเติบโตเร็วในระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไปถึงจะเห็นผล
ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไป
1. ควรมีการเผยแพร่ความรู้เรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง ให้ทุกคนรู้เพราะการทาบกิ่งกะสังช่วยในการปลูกแบบประหยัดพื้นที่
2.
ควรใช้รู้แบบที่หลากหลายในการเผยแพร่ เช่น
การสร้างเว็บเพจเรื่อง การทาบกิ่งมะนาวบนต้นกะสัง
ในอินเทอร์เน็ต และการจัดนิทรรศการในโรงเรียน
3. รณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนใจใน
การทาบกิ่งของพืช และอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
ภาคผนวก
การทาบกิ่ง
บรรณานุกรม
- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- ห้องสมุดความรู้การเกษตร
- กรมส่งเสริมการเกษตร
- กองเกษตรสัมพันธ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น